FAQ
Q: สั่งอัดรูปช่องทางไหนรวดเร็วที่สุด
A: ทางร้านแนะนำให้ใช้อัพโหลดรูปและสั่งงานทางหน้าเว็บไซต์ eservice.snowwhite.co.th จะรวดเร็วที่สุดค่ะ แต่สำหรับลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบายในเรื่องของการอัพโหลดไฟล์งาน การส่งงานผ่านระบบคลาวด์ไดรฟ์ เช่น Dropbox, Google Drive หรือ OneDrive ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถใช้ได้เช่นกันนะคะ
Q: หลังจากส่งไฟล์แล้ว ใช้เวลานานแค่ไหน ถึงจะได้รับงาน
A: หลังจากลูกค้าแจ้งชำระค่าบริการให้ทางร้านทราบแล้ว โดยปกติทางร้านใช้เวลาไม่เกิน 1-2 วันก็สามารถนำส่งสินค้าได้ค่ะ ระยะเวลาเดินทางของสินค้าขึ้นอยู่กับช่องทางจัดส่งที่ลูกค้าเลือก หากลูกค้าใช้บริการผ่านเว็บไซต์ eservice.snowwhite.co.th ระบบจะมีการแจ้งระยะเวลาที่จะได้รับสินค้าโดยประมาณให้ทราบก่อนชำระค่าบริการด้วยนะคะ และเมื่องานถูกจัดส่งแล้วระบบจะส่ง SMS และ E-mail แจ้งให้ลูกค้าทราบค่ะ
Q: อัดรูปออนไลน์ รูปจะคมชัดเท่ากับมาอัดที่ร้านหรือไม่
A: สีสวยคมชัดเหมือนกันเลยค่ะ เพราะระบบของทางร้านจะไม่มีการบีบอัดหรือย่อไฟล์ของลูกค้าใดๆ ทั้งสิ้น
Q: กระดาษแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร
A: ปัจจุบันทางร้านให้บริการกระดาษอยู่สองยี่ห้อคือกระดาษ Super Digital Professional และกระดาษ Kodak Royal โดยกระดาษ Super Digital Professional จะมีทั้งแบบผิวมันและผิวด้าน ส่วนกระดาษ Kodak Royal จะมีเฉพาะผิวมัน และเนื่องจากทางร้านมีการควบคุมระบบสีเป็นอย่างดี ผลลัพธ์เรื่องของสีและความคมชัดของสองกระดาษนี้จึงไม่แตกต่างกันค่ะ สำหรับความหนาของกระดาษ กระดาษ Super Digital Professional และกระดาษ Kodak Royal มีความหนาเท่ากัน และยังหนากว่า Kodak Edge และกระดาษ Fuji เกรดปกติที่ให้บริการอยู่ทั่วไปอีกด้วย ลูกค้าจึงวางใจได้ไม่ว่าจะเลือกใช้กระดาษยี่ห้อใดก็ตามค่ะ
Q: กระดาษมันและกระดาษด้านแบบไหนดีกว่ากัน ต่างกันยังไง
A: กระดาษทั้งสองแบบมีความคมชัดและแสดงสีสันได้สดใสเหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่ผิวของกระดาษ โดยกระดาษมันจะมีผิวเรียบและมีความมันวาว สำหรับกระดาษด้านเนื้อกระดาษจะมีเกรนกระดาษที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ช่วยให้ภาพมีความนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของลูกค้าและการนำไปใช้ เช่น หากลูกค้าต้องการนำภาพไปใส่กรอบรูป การเลือกใช้กระดาษด้านก็จะลดแสงสะท้อนได้ด้วยค่ะ (ดูตัวอย่างผิวกระดาษ)
Q: ทำไมบางส่วนของรูปถึงหายไปเมื่ออัดออกมา
A: เนื่องจากสัดส่วนของรูปที่ลูกค้าต้องการอัด ไม่เท่ากับสัดส่วนภาพของไฟล์ที่นำมา ยกตัวอย่างเช่น รูปขนาดจัมโบ้ (4"x6") มีสัดส่วนด้านกว้างต่อด้านยาวเป็น 3:2 แต่สัดส่วนภาพของไฟล์ที่ได้จากกล้องดิจิตอลนั้นแตกต่างกันออกไปแล้วแต่รุ่น ยกตัวอย่างเช่น DSLR จะเป็น 3:2 ส่วนกล้อง Compact จะมีทั้ง 4:3, 3:2 หรือ 16:9 เป็นต้น ทำให้มีบางส่วนของภาพเกินออกมาจากกระดาษ โดยปกติแล้วทางร้านจะเลือกตัดส่วนที่ไม่สำคัญแต่หากลูกค้าต้องการให้ทุกส่วนของภาพอยู่ครบสามารถบอกให้ทางร้านอัดแบบ "เต็มไฟล์" ได้ค่ะ (รายละเอียดเพิ่มเติม)
Q: รูปจากมือถือหรือแท็บเล็ท นำมาอัดได้หรือไม่
A: ได้ค่ะ ปัจจุบันกล้องถ่ายภาพที่มากับอุปกรณ์พกพามีการพัฒนาไปมาก ลูกค้าสามารถนำไฟล์ภาพมาล้างอัดได้ตามปกติ ในกรณีที่ต้องการขยายรูปขนาดใหญ่แต่ไม่แน่ใจว่าไฟล์มีความละเอียดเพียงพอหรือไม่ สามารถแจ้งให้ทางร้านตรวจสอบให้ได้ค่ะ
Q: ทางร้านอัดรูปใหญ่ที่สุดได้ขนาดเท่าไหร่
A: ทางร้านอัดได้ถึงขนาด 24 นิ้ว x 100 นิ้ว โดยทางร้านให้บริการด้วยเครื่องอัดภาพระบบดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุด จึงมั่นใจได้ในคุณภาพ สีสัน และความคมชัดค่ะ
Q: นำรูปมาอัดที่ร้านดีกว่าปริ้นท์เองที่บ้านยังไง
A: การอัดรูปที่ร้านช่วยประหยัดต้นทุน รวดเร็ว และรูปที่ได้มีความคงทนกว่ามาก (20 ปีขึ้นไปในการจัดเก็บปกติ) หากลูกค้าต้องงานปริ้นท์ที่มีคุณภาพในระดับเดียวกัน จะต้องใช้เครื่องปริ้นท์อิงค์เจ็ทระดับมืออาชีพที่มีราคาหลายหมื่นบาท รวมถึงต้นทุนกระดาษและหมึกของแท้สำหรับภาพขนาด 4"x6" ไม่ต่ำกว่าใบละ 10 บาท ในขณะที่ทางร้านให้บริการอัดรูปขนาดเดียวกันที่ราคาใบละ 2.5 บาทเท่านั้น นอกจากนี้เรายังมี ระบบจัดการสี ที่มีความแม่นยำสูงที่เป็นที่ไว้ใจของช่างภาพอาชีพทั่วประเทศอีกด้วยค่ะ
Q: ทางร้านแต่งรูปที่นำไปอัดให้ด้วยหรือเปล่า
A: โดยปกติแล้ว ทางร้านจะปรับแก้ความสว่างและสี ในกรณีที่ถ่ายมามึดเกินไป สว่างเกินไป หรือมีสีเปื้อนที่เกิดจากสภาพแสงขณะถ่ายเช่นติดเขียว ติดม่วง ให้ตามที่เห็นเหมาะสมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สำหรับลูกค้าที่ต้องการให้แต่งรูปให้เป็นพิเศษ เช่นลบริ้วรอย ปรับผิว ตัดต่อรีทัช หรือตกแต่งซ่อมแซมสามารถนำตัวงานมาให้ทางร้านประเมินราคาก่อนได้ค่ะ หรือหากลูกค้าไม่ต้องการให้ปรับภาพแต่อย่างใดเลย สามารถบอกกับทางร้านตอนที่นำไฟล์มาอัดว่า "ไม่ต้องปรับภาพ" ได้เช่นกัน
Q: งานที่ได้แสงหรือสีไม่ตรงกับจอ
A: หากลูกค้าไม่ได้มีการคาลิเบรตจอมอนิเตอร์ให้แสดงผลตรงตามมาตรฐาน และนำ ระบบจัดการสี ไปใช้งาน จะไม่สามารถเทียบสีของงานกับจอมอนิเตอร์ที่ใช้อยู่โดยเด็ดขาด เนื่องจากทางร้านจะควบคุมมาตรฐานสีและความสว่างของภาพด้วยมาตรฐานสากล หากลูกค้าไม่แน่ใจว่าจอมอนิเตอร์ที่ใช้อยู่แสดงผลต่างจากมาตรฐานมากแค่ไหน สามารถทดลองสั่งงานในจำนวนขั้นต่ำดูก่อนได้ค่ะ
Q: งานพิมพ์ระบบดิจิตอลออฟเซ็ตต่างจากอัดรูปอย่างไร
A: งานพิมพ์ดิจิตอลเหมาะสมสำหรับงานประเภทสิ่งพิมพ์เช่นการ์ด นามบัตร แผ่นพับใบปลิว หรือสติ๊กเกอร์ โดยมีประเภทของกระดาษให้เลือกหลากหลายชนิด ระบบพิมพ์ดิจิตอลจะมีความคมชัดสูงเมื่อใช้ไฟล์งานที่อยู่ในรูปแบบเวคเตอร์ แต่สำหรับไฟล์งานในรูปแบบราสเตอร์เช่นรูปถ่ายจะเหมาะกับงานอัดรูปมากกว่าค่ะ (รายละเอียดเพิ่มเติม)
Q: จำนวนขั้นต่ำในการสั่งงาน มีค่าทำเพลตหรือไม่
A: ข้อดีของระบบดิจิตอลออฟเซ็ต คือไม่มีต้นทุนค่าทำเพลต ทำให้ลูกค้าที่ต้องการพิมพ์จำนวนน้อยสามารถพิมพ์ได้ในต้นทุนที่ถูกกว่าโรงพิมพ์ ขั้นต่ำงานพิมพ์ขนาด 4x6 เพียง 9 ใบเท่านั้นค่ะ (ราคางานพิมพ์ดิจิตอลออฟเซ็ท)
Q: ใช้เวลานานไหม เคยไปโรงพิมพ์ต้องรอเป็นอาทิตย์
A: สำหรับงานด่วนจำนวนไม่มาก หากลูกค้า เตรียมไฟล์พร้อมพิมพ์มาแล้ว ใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ หรือหากงานปริมาณมากหรือมีงานเคลือบหรือ Finishing อื่นใดหลังการพิมพ์ สามารถสอบถามระยะเวลาจากทางร้านก่อนได้ค่ะ
Q: สามารถพิมพ์ได้ถึงขนาดเท่าไหร่
A: ขนาดใหญ่ที่สุดที่ให้บริการคือขนาด A3 หรือ 297x420 มม. ค่ะ
Q: กระดาษแต่ละชนิดต่างกันยังไงบ้าง
A: ความแตกต่างแรกคือแกรมกระดาษซึ่งจะเป็นค่าที่บอกน้ำหนักของกระดาษเป็นหน่วย กรัม/ตารางเมตร ซึ่งโดยทั่วไปจะจับต้องได้ในรูปแบบของความหนากระดาษ นอกเหนือจากนี้ก็จะมีเรื่องของผิวสัมผัสของกระดาษและการเคลือบผิว ยกตัวอย่างเช่น กระดาษอาร์ทจะเป็นกระดาษผิวเรียบที่มีการเคลือบผิว (Coated) ส่วนกระดาษวาดเขียนหรือกระดาษลายเส้นจะมีผิวสำผัสที่หยาบมีลวดลาย และไม่มีการเคลือบผิวค่ะ (Uncoated)
Q: งานพิมพ์สติ๊กเกอร์ด้วยระบบดิจิตอล ต่างจากอิงค์เจ็ทอย่างไร
A: ข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเรื่องของความคมชัดค่ะ โดยเฉพาะตัวอักษรต่างๆ หากพิมพ์ด้วยระบบดิจิตอลจะมีความคมชัดกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ลูกค้าควร เตรียมไฟล์ พร้อมพิมพ์มาอย่างถูกต้องจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
Q: สติ๊กเกอร์ PP และสติ๊กเกอร์ PVC ต่างกันอย่างไร
A: โดยทั่วๆ ไปคุณสมบัติจะใกล้เคียงกันค่ะ ความแตกต่างคือสติ๊กเกอร์ PP จะทนความร้อนได้สูงกว่ามากเพราะระบบพิมพ์ดิจิตอลจะพิมพ์ด้วยระบบเลเซอร์ซึ่งมีความร้อนในการพิมพ์สูง ส่วนสติ๊กเกอร์ PVC จะใช้กันมากในงานพิมพ์ระบบอิงค์เจ็ทซึ่งไม่มีความร้อนในการพิมพ์ค่ะ
Q: เทียบกับงานอัดรูปแล้วแบบไหนได้งานสวยกว่ากัน
A: ลักษณะของงานทั้งสองแบบมีดีกันคนละอย่างค่ะ บริการอัดรูปเหมาะสำหรับงานที่เน้นการไล่โทน เช่นภาพถ่ายบุคคล หรืองานออกแบบที่มีรูปถ่ายบุคคลเป็นหลัก เพราะสามารถไล่โทนได้อย่างนุ่มนวลกว่า ส่วนงานพิมพ์ดิจิตอลออฟเซ็ตเหมาะสำหรับงานกราฟฟิคที่เป็นลายเส้นและตัวอักษรเพราะสามารถพิมพ์ได้อย่างคมชัด และสามารถพิมพ์สีที่สดมาก ๆ อย่างสีฟ้าสด (100% Cyan) ม่วงสด (100% Magenta) หรือเหลืองสด (100% Yellow) ได้ด้วย แต่ว่าการไล่โทนสีผิวหรือการไล่เฉดสี (Gradient) จะสู้งานอัดรูปไม่ได้นะคะ
Q: ชำระค่าบริการด้วยวิธีไหนได้บ้าง
A: หลังจากลูกค้าได้รับแจ้งยอดชำระค่าบริการแล้ว สามารถชำระค่าบริการโดยการโอนผ่านบัญชีธนาคาร หรือจะชำระผ่านบัตรเครดิตก็ได้เช่นกันค่ะ ลูกค้าสามารถตรวจสอบเลขบัญชีหรือทำรายการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้ที่หน้า ชำระเงิน ค่ะ
Q: หากชำระด้วยบัตรเครดิต มีค่าธรรมเนียมหรือไม่
A: ไม่มีค่ะ
Q: พนักงานแสดงกริยาไม่เหมาะสม พูดจาไม่สุภาพ ทำอย่างไรดี
A: ทางร้านสโนว์ไวท์จะมีการอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ หากลูกค้าพบเห็นการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมหรือมีความรู้สึกไม่พึงพอใจในบริการของพนักงานของเรา ทางร้านยินดีรับฟังเพื่อที่จะนำไปปรับปรุงมาตรฐานการบริการค่ะ โดยลูกค้าสามารถแจ้งได้โดยตรงถึงผู้จัดการร้านที่ประจำอยู่ที่ร้านหรือทางอีเมลล์ info@snowwhite.co.th พนักงานทุกคนจะติดบัตรพนักงานซึ่งจะแสดงรายละเอียดต่างๆ เช่นชื่อและตำแหน่งของพนักงาน ขอให้ลูกค้าจดจำรายละเอียดเหล่านั้นแจ้งผู้จัดการ เพื่อที่ทางผู้จัดการร้านจะเรียกพนักงานดังกล่าวมาว่ากล่าวตักเตือน และดำเนินการตามระเบียบของร้านต่อไปค่ะ
สอบถามเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการได้ทุกวัน (จันทร์-อาทิตย์)
08:00 - 18:00 น.
อัดรูป
การ์ดแต่งงาน
สติ๊กเกอร์
นามบัตร
แคนวาสและกรอบลอย
งานพิมพ์ดิจิตอลฯ
ปฏิทินใส่รูปได้
ถ่ายรูปติดบัตร
รีทัชรูป
ซ่อมแซมแก้ไขภาพเก่า
สแกนภาพ ล้างและสแกนฟิลม์
อัลบั้มและกรอบรูป
วิธีการเตรียมไฟล์งานอัดรูป
วิธีการเตรียมไฟล์พิมพ์ดิจิตอลฯ
ระบบจัดการสี
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
วิธีสั่งงานอัดรูปหน้าเว็บไซต์
วิธีสั่งงานทาง Dropbox ฯลฯ
วิธีสั่งงานทาง E-mail
วิธีสั่งงานทาง DVD/CD